เมนู

เพราะความที่นิวรณ์ทั้งหลายในเบื้องต่ำไม่มีลำดับ ท่านจึงแสดงด้วยอัจจันตสมี-
ปะ (ใกล้ที่สุด) ด้วยบทมีอาทิว่า ก็และด้วยนิวรณ์ทั้งหลายเหล่านี้. แต่ใน
ที่นี้ เพราะนิวรณ์ทั้งหลายมีลำดับในบทสรุป ท่านจึงแสดงเป็นปรัมมุขา (ลับ
หลัง) ด้วยบทมีอาทิว่า ก็และด้วยนิวรณ์ทั้งหลายเหล่านั้น.
จบอรรถกถาอุปกิเลสญาณนิเทศ

4. อรรถกถาโวทานญาณนิเทศ


บทว่า โวทาเน ญาณานิ ญาณในโวทาน คือญาณบริสุทธิ์.
บทว่า ตํ วิชยิตฺวา เว้นจิตนั้นเสีย พึงเชื่อมความว่า เว้นจิตแล่นไปตาม
อตีตารมณ์ ตกไปข้างฝ่ายฟุ้งซ่าน ดังกล่าวแล้วในก่อนเสีย. บทว่า เอกฏฺฐาเน
สมาทหติ
ย่อมตั้งมั่นจิตไว้ในฐานะหนึ่ง คือ ตั้งมั่นไว้เสมอในที่สัมผัสแห่ง
อัสสาสะและปัสสาสะ. บทว่า ตตฺเถว อธิโมกฺเขติ น้อมจิตไปในฐานะนั้นแล
เมื่อท่านกล่าวว่า เอกฏฺฐาเน ในฐานะหนึ่ง พระโยคาวจรย่อมทำความตกลง
ในที่สัมผัสแห่งอัสสาสะและปัสสาสะ.
บทว่า ปคฺคณฺหิตฺวา ประคองจิตไว้แล้ว คือ ประคองจิตไว้ด้วย
เจริญธรรมวิจยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์. บทว่า วินิคฺคณฺหิตฺวา
ข่มจิตนั้นเสีย คือ ข่มจิตไว้ด้วยการเจริญปีติสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์
และอุเบกขาสัมโพชฌงค์. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ประคองจิตไว้ด้วย
สตินทรีย์และวีริยินทรีย์ ข่มจิตไว้ด้วยสตินทรีย์และสมาธินทรีย์.

บทว่า สมฺปชาโน หุตฺวา พระโยคาวจรรู้ทันจิตนั้น คือรู้ทันด้วย
อสุภภาวนาเป็นต้น อีกอย่างหนึ่งรู้ทันด้วยเมตตาภาวนาเป็นต้น พึงทราบความ
เชื่อมว่า พระโยคาวจรย่อมละราคะพยาบาทที่จิตตกตามไป. ความว่า เมื่อรู้ทันว่า
จิตนั้นเป็นเช่นนี้ ย่อมละราคะพยาบาทโดยเป็นปฏิปักษ์ต่อจิตนั้น. บทว่า
ปริสุทฺธํ บริสุทธิ์คือไม่มีอุปกิเลส. บทว่า ปริโยทาตํ ขาวผ่อง คือ ประภัสสร.
บทว่า เอกตฺตคตํ โหติ จิตถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว คือ เมื่อพระโยคาวจร
ถึงความวิเศษนั้น ๆ จิตนั้น ๆ ก็ย่อมถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว.
บทว่า กตเม เต เอกตฺตา ความเป็นธรรมอย่างเดียวเหล่านั้น
เป็นไฉน. พระสารีบุตรเถระ เมื่อถามความเป็นธรรมอย่างเดียว แม้ประกอบ
และยังไม่ประกอบ ย่อมถามทำรวมกัน. บทว่า ทานโวสฺสคฺคุปฏฺฐาเนกตฺตํ
ความเป็นธรรมอย่างเดียวในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน คือ การบริจาค
การสละทานอันเป็นทานวัตถุ ชื่อว่า ทานูปสคฺโค ได้แก่ เจตนาบริจาคทาน
วัตถุ. การเข้าไปตั้งความปรากฏแห่งทานนั้นด้วยทำให้เป็นอารมณ์ ชื่อว่า
ทานูปสคฺคุปฏฺฐานํ ความปรากฏแห่งการบริจาคทาน. อีกอย่างหนึ่งความเป็น
ธรรมอย่างเดียว ในความปรากฏแห่งการบริจาคทาน ชื่อว่า ทานุปสคฺคุปฏฺ-
ฐาเนกตฺตํ
. ปาฐะว่า ทานโวสฺสคฺคุปฏฺฐาเนกตฺตํ ดีกว่า ความอย่างเดียวกัน.
ด้วยบทนี้ท่านกล่าวจาคานุสติสมาธิด้วยการยกบทขึ้น. อนึ่ง แม้ท่าน
กล่าวจาคานุสติสมาธินั้น ด้วยการยกบทก็เป็นอุปนิสสยปัจจัยแห่งความเป็นธรรม
อย่างเดียวกัน แม้ 3 อย่างนอกนี้ เพราะฉะนั้น อาจารย์พวกหนึ่งจึงกล่าว
ไว้ในที่นี้ว่า ท่านชี้แจงไว้แล้วดังนี้. จริงอยู่ แม้นางวิสาขามหาอุบาสิกาก็ยัง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายผู้อยู่จำพรรษาในทิศทั้งหลาย
ในศาสนานี้จักมาสู่กรุงสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระมีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าเฝ้าพระผู้มี-

พระภาคเจ้าแล้วจักทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อมรณภาพแล้ว
ภิกษุนั้นจักมีคติอย่างไร อภิสัมปรายภพจักเป็นอย่างไรดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
จักทรงพยากรณ์ถึงคติและสัมปรายภพนั้นในโสดาปัตติผลก็ดี ในสกคาทามิผล
ก็ดี ในอนาคามิผลก็ดี ในอรหัตผลก็ดี. ข้าพเจ้าเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้วจัก
ถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าทั้งหลาย พระคุณเจ้ารูปนั้นเคยมากรุงสาวัตถีหรือหนอ.
หากภิกษุทั้งหลายจักกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ภิกษุรูปนั้นเคยมากรุงสาวัตถี. ข้าพเจ้า
จักตัดสินใจถวายวัสสิกสาฏก อาคันตุกภัตร คมิกภัตร คิลานภัตร คิลานุปัฏ-
ฐากภัตร คิลานเภสัช หรือธุวยาคู (ข้าวยาคูเป็นประจำ) ให้พระคุณเจ้ารูปนั้น
บริโภคโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงดังนั้น จักเกิดความปราโมทย์
เมื่อปราโมทย์แล้วจักเกิดปีติ เมื่อมีใจปีติ กายจักสงบ เมื่อกายสงบจักเสวยสุข
เมื่อมีสุข จิตจักตั้งมั่น อินทรียภาวนา พลภาวนา โพชฌงคภาวนา นั้นจักมี
แก่ข้าพเจ้า. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าในความเป็นธรรมอย่างเดียวทั้งหลาย
ท่านกล่าวถึงธรรมที่หนึ่งด้วยอุปจารสมาธิ ธรรมที่สองด้วยอัปปนาสมาธิ
ธรรมที่สามด้วยวิปัสสนาสมาธิ ธรรมที่สี่ด้วยมรรคและผล. นิมิตแห่งสมถะ
ชื่อว่าสมถนิมิต. ลักษณะอันเป็นความเสื่อมความทำลาย ชื่อว่า วยลักษณะ.
บทว่า นิโรโธ คือนิพพาน. บทที่เหลือ พึงประกอบตามนัยที่กล่าวแล้วใน
3 บทเหล่านี้. บทว่า จาคธิมุตฺตานํ ของบุคคลผู้น้อมใจไปในจาคะ คือ
คือน้อมไปในทาน. บทว่า อธิจิตฺตํ ได้แก่ สมาธิอันเป็นบทแห่งวิปัสสนา.
บทว่า วิปสฺสกานํ ของบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาทั้งหลาย คือ ของผู้เห็นแจ้ง
สังขารด้วยอนุปัสสนา 3 ตั้งแต่ภังคานุปัสสนา (พิจารณาเห็นความดับสังขาร).
บทว่า อริยปุคฺคลานํ คือพระอริยบุคคล 8. ความเป็นธรรมอย่างเดียว
3 มีธรรมที่ 2 เป็นต้น ย่อมประกอบด้วยอานาปานสติ และด้วยกรรมฐาน
ที่เหลือ. บทว่า จตูหิ ฐาเนหิ คือด้วยเหตุทั้งหลาย 4. บทที่ยกขึ้นว่า

จิตถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว เป็นจิตแล่นไปสู่ปฏิปทาวิสุทธิ เป็นจิตเจริญ
งอกงามด้วยอุเบกขา และเป็นจิตร่าเริงด้วยญาณดังนี้ด้วยอำนาจแห่งสมาธิ-
วิปัสสนามรรคและผล. บทขยายความอันเป็นเบื้องต้นแห่งคำถามเพราะใคร่จะ
ทำเพื่อความพิสดารแห่งบทที่ยกขึ้นเหล่านั้นมีอาทิว่า อะไรเป็นเบื้องต้นแห่ง
ปฐมฌาน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิปทาวิสุทฺธิปสนฺนญฺเจว ย่อมเป็นจิต
ที่มีปฏิปทาวิสุทธิผ่องใส คือปฏิปทานั่นเองชื่อว่า วิสุทธิ เพราะชำระมลทิน
คือนิวรณ์ จิตแล่นไป คือ เข้าไปสู่ปฏิปทาวิสุทธินั้น. บทว่า อุเปกฺขานุพฺ-
รูหิตญฺจ
คือ เจริญงอกงามด้วยอุเบกขา คือความเป็นกลางนั้น. บทว่า
ญาเณน จ สมฺปหํสิตํ ร่าเริงด้วยญาณ คือ ร่าเริง ผ่องแผ้ว บริสุทธิ์
ด้วยญาณอันขาวผ่อง. อาจารย์พวกหนึ่งพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า อุปจาระพร้อม
ด้วยการสะสม ชื่อว่า ปฏิปทาวิสุทธิ อัปปนาชื่อว่าการเจริญงอกงามด้วย
อุเบกขา ปัจจเวกขณะชื่อว่า ความร่าเริง.
อนึ่ง เพราะท่านกล่าวบทมีอาทิว่า จิตถึงความเป็นธรรมอย่างเดียว
เป็นจิตแล่นไปสู่ปฏิปทาวิสุทธิ ฉะนั้นพึงทราบปฏิปทาวิสุทธิด้วยการมาแห่ง
อัปปนาภายใน การเจริญงอกงามด้วยอุเบกขาด้วยกิจแห่งอุเบกขา คือ ความ
เป็นกลางนั้น การร่าเริงด้วยการสำเร็จกิจแห่งญาณอันขาวผ่องด้วยสำเร็จความ
ไม่ล่วงไปแห่งธรรมทั้งหลาย. เป็นอย่างไร เพราะจิตย่อมบริสุทธิ์จากหมู่กิเลส
คือ นิวรณ์อันเป็นอันตรายแก่ฌานนั้นในวาระที่อัปปนาเกิด. เพราะจิตบริสุทธิ์
จิตปราศจากเครื่องกีดกันย่อมดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง สมาธิคือ
อัปปนาไปเสมอชื่อว่าสมถนิมิต อันเป็นท่ามกลาง.
แต่ปุริมจิต (จิตดวงก่อน) ในลำดับแห่งอัปปนาสมาธินั้นเข้าถึงความ
เป็นของแท้โดยนัยแห่งความปรวนแปรสันตติอย่างเดียว ชื่อว่าย่อมดำเนินสู่

สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลาง เพราะดำเนินไปอย่างนี้ จิตจึงชื่อว่าแล่นไปใน
สมถนิมิตนั้นโดยเข้าถึงความเป็นของแท้.
พึงทราบปฏิปทาวิสุทธิ อันสำเร็จอาการมีอยู่ในปุริมจิตอย่างนี้ก่อนด้วย
อำนาจแห่งการมาในขณะปฐมฌานเกิดนั่นเอง. อนึ่ง เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว
ไม่ทำความขวนขวายในการชำระจิต เพราะไม่มีสิ่งที่ควรชำระอีก ชื่อว่า
จิตหมดจดวางเฉยอยู่. เมื่อดำเนินสู่สมถะด้วยการเข้าถึงความเป็นสมถะแล้ว
ไม่ทำความขวนขวายในการสมาทานอีก ชื่อว่า จิตดำเนินสู่สมถะวางเฉยอยู่.
เพราะดำเนินสู่สมถะเมื่อจิตละความเกี่ยวข้องด้วยกิเลสแล้วปรากฏด้วยความเป็น
ธรรมอย่างเดียว ไม่ทำความขวนขวายในการปรากฏแห่งความเป็นธรรมอย่าง
เดียวอีก ชื่อว่า จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่.
พึงทราบความพอกพูนอุเบกขาด้วยอำนาจกิจของความวางเฉยเป็นกลางนั้น.
ธรรมเทียมคู่ คือ สมาธิและปัญญาเหล่าใดเกิดแล้วในจิตนั้น อัน
พอกพูนด้วยอุเบกขาอย่างนี้ เมื่อยังไม่ล่วงเกินซึ่งกันและกัน ได้เป็นไปแล้ว.
อินทรีย์มีสัทธินทรีย์เป็นต้นเหล่าใด มีรสอันเดียวกันด้วยรสคือวิมุตติเพราะพ้น
จากกิเลสต่าง ๆ เป็นไปแล้ว พระโยคาวจรนั้นนำความเพียงใด อันเข้าถึง
วิมุตตินั้น สมควรแก่ความเป็นรสเดียวด้วยความไม่เป็นไป แห่งอินทรีย์เหล่านั้น.
การเสพใดเป็นไปแล้วในขณะของพระโยคาวจรนั้น อาการเหล่านั้นแม้ทั้งหมด
เพราะเห็นโทษและอานิสงส์นั้น ๆ ในความเศร้าหมองและความผ่องแผ้วด้วย
ญาณแล้วสำเร็จเพราะเป็นจิตร่างเริง เป็นจิตผ่องใส ฉะนั้นพึงทราบว่า ความ
ร่าเริงด้วยอำนาจแห่งความสำเร็จกิจ แห่งญาณอันขาวผ่องด้วยสำเร็จความไม่-
ล่วงเกินกันเป็นต้นแห่งธรรมทั้งหลาย ท่านอธิบายไว้ดังนี้แล.

ในบทนั้นมีความดังนี้ เพราะญาณปรากฏด้วยสามารถแห่งอุเบกขา
สมดังที่พระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า จิตประคองไว้แล้วอย่างนั้น ย่อมวางเฉย
ด้วยดี ปัญญินทรีย์มีประมาณยิ่งด้วยสามารถแห่งปัญญาด้วยอำนาจแห่งอุเบกขา
จิตย่อมหลุดพ้นจากกิเลสต่างๆ ด้วยสามารถแห่งอุเขกขา ปัญญินทรีมีประมาณ
ยิ่ง ด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งความหลุดพ้น ธรรมเหล่านั้น
ย่อมมีกิจเป็นอันเดียวกัน เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติหลุดพ้นแล้ว ปัญญิน-
ทรีย์มีประมาณยิ่ง ด้วยสามารถแห่งปัญญา ด้วยอำนาจแห่งภาวนา เพราะ
อรรถว่าเป็นธรรมมีกิจเป็นอันเดียวกัน ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ความร่าเริง
อันเป็นกิจของญาณเป็นที่สุด.
บทมีอาทิว่า เอวํติวตฺตคตํ จิตอันถึงความเป็นไป 3 ประการ
เป็นคำสรรเสริญจิตนั้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํติวยตฺตคตํ ได้แก่ จิต
ถึงความเป็นไป 3 อย่างด้วยสามารถแห่งความแล่นไปสู่ปฏิปทาวิสุทธิ ความ
พอกพูนอุเบกขาและความร่าเริงด้วยญาณ. บทว่า วิตกฺกสมฺปนฺนํ เป็นจิต
ถึงพร้อมด้วยวิตก คือ ถึงความเป็นจิตงามด้วยวิตก เพราะปราศจากความ
กำเริบแห่งกิเลส.
บทว่า จิตฺตสฺส อธิฏฺฐานสมฺปนฺนํ ถึงพร้อมด้วยการอธิษฐาน
แห่งจิต คือ จิตสมบูรณ์ไม่ย่อหย่อนด้วยการอธิษฐาน กล่าวคือเป็นไปตามลำดับ
แห่งจิตในอารมณ์นั้นนั่นเอง ความเป็นไปแห่งฌานชื่อว่าอธิษฐาน ในเพราะ
ความชำนาญแห่งอธิษฐาน ฉันใด แม้ในที่นี้ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ก็
ชื่อว่า อธิษฐานจิตย่อมควร ฉันนั้น ด้วยเหตุนั้น จิตย่อมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียว
เท่านั้น แต่เพราะกล่าวว่า สมาธิสมฺปนฺนํ ถึงพร้อมด้วยสมาธิไว้ต่างหาก
จึงควรถือเอาตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล. อีกอย่างหนึ่ง เพราะสงเคราะห์สมาธิ

เข้าไว้ในองค์ฌาน จึงกล่าวว่า จิตฺตสฺส อธิฏฺฐานสมฺปนฺนํ ด้วยสามารถ
แห่งหมวด 5 ขององค์ฌาน. บทว่า สมาธิสมฺปนฺนํ ท่านกล่าวด้วยสามารถ
แห่งหมวด 5 ของอินทรีย์ เพราะสงเคราะห์สมาธิเข้าไว้ในอินทรีย์.
แต่ในทุติยฌานเป็นต้น ท่านละบทที่ยังไม่ได้แล้วกล่าวว่า ปีติสมฺ-
ปนฺนํ
ถึงพร้อมด้วยปีติ ด้วยสามารถแห่งการได้.
ในมหาวิปัสสนา 18 มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น วิตกเป็นต้นต้น บริบูรณ์
แล้วเพราะมหาวิปัสสนาเหล่านั้นเป็นกามาวจร. อนึ่ง เพราะในมหาวิปัสสนาเหล่า
นั้นไม่มีอัปปนา จึงควรประกอบปฏิปทาวิสุทธิเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งสมาธิ
ชั่วขณะ. ท่านกล่าววิตกเป็นต้นบริบูรณ์ ด้วยสามารถการได้เพราะได้วิตกเป็นต้น
ด้วยปฐมฌานิก (ผู้ได้ปฐมฌาน) ในมรรค 4 เพราะวิตกเป็นต้นในมรรค
มีผู้ได้ทุติยฌานเป็นต้น ย่อมเสื่อมดุจในฌานทั้งหลาย.
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านแสดงโวทานญาณ (ญาณบริสุทธิ์)
13 โดยพิสดาร. แสดงอย่างไร ท่านแสดงญาณ 13 เหล่านี้ก็คือ ญาณทั้งหลาย
6 สัมปยุตด้วยการตั้งมั่นในที่เดียวกัน ด้วยการน้อมไปในความตั้งมั่นนั้นเอง
ด้วยการละความเกียจคร้าน ด้วยการละความฟุ้งซ่าน ด้วยการละราคะ ด้วย
การละพยาบาท ญาณ 4 สัมปยุต ด้วยความเป็นธรรมอย่างเดียว 4 ญาณ 3
สัมปยุตด้วยปฏิปทาวิสุทธิ การพอกพูนอุเบกขาและความร่าเริง.
แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะแสดงความสำเร็จแห่ง
ญาณเหล่านั้น ด้วยสามารถแห่งการเจริญอานาปานสติสมาธิ ไม่สรุปญาณ
เหล่านั้น แล้วแสดงวิธีเจริญอานาปานสติสมาธิ อันเป็นเบื้องต้นแห่งการท้วง
โดยนัยมีอาทิว่า นิมิตฺตํ อสฺสาสปสฺสาสา นิมิตลมอัสสาสปัสสาสะ แล้ว
แสดงสรุปญาณในที่สุด. นิมิตในญาณนั้นท่านกล่าวไว้แล้ว.

บทว่า อนารมฺมณาเมกจิตฺตสฺส คือ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวง
เดียว. ในบทนี้ อักษรเป็นบทสนธิ. ปาฐะว่า อนารมฺมณเมกจิตฺตสฺส
บ้าง ความว่า ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว. บทว่า ตโย ธมฺเม ธรรม
3 ประการ คือ ธรรม 3 ประการมีนิมิตเป็นต้น. บทว่า ภาวนา ได้แก่
อานาปานสติสมาธิภาวนา. บทว่า กถํ อย่างไร เป็นคำถามใคร่จะกล่าวความ
แห่งคาถาแก้ ดังกล่าวแล้วในลำดับแห่งคาถาท้วงดังกล่าวแล้วครั้งแรก. บทว่า
น จิเม ตัดบทเป็น น จ อิเม ปาฐะว่า น จ เม ดังนี้บ้าง. ปาฐะนั้น
เป็นปาฐะกำหนดบท.
พึงประกอบ กถํ ศัพท์ด้วยบทแม้ที่เหลือ 5 อย่างนี้ว่า กถํ น จ
อวิทิตา โหนฺติ กถํ น จ จิตฺตํ วิกฺเขปํ คจฺฉติ
เป็นธรรมไม่ปรากฏ
ก็หามิได้อย่างไร และจิตไม่ถึงความฟุ้งซ่านอย่างไร. บทว่า ปธานญฺจ
ปญฺญายติ
จิตปรากฏเป็นประธาน คือ ความเพียรปรารภการเจริญอานา-
ปานสติสมาธิปรากฏ เพราะว่าวีริยะท่านกล่าวว่าเป็น ปธาน เพราะเป็นเหตุ
เริ่มตั้ง. บทว่า ปโยคญฺจ สาเธติ จิตให้ประโยชน์สำเร็จ คือ พระโยคาวจร
ยังฌานนั้นนิวรณ์ให้สำเร็จ เพราะว่า ฌานท่านกล่าวว่า ปโยค เพราะประกอบ
ด้วยการข่มนิวรณ์. บทว่า วิเสสมธิคจฺฉติ บรรลุผลวิเศษ คือ ได้มรรค
อันทำการละสังโยชน์ เพราะว่า มรรคท่านกล่าวว่า วิเสส เพราะเป็นอานิสงส์
แห่งสมถะและวิปัสสนา. อนึ่ง เพราะมรรคเป็นประธานแห่งความวิเศษ จึง
ไม่ทำการสะสมด้วยการทำ.
บัดนี้ พระสตรีบุตรเถระยังความที่ถามนั้นให้สำเร็จด้วยอุปมา จึง
กล่าวคำมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ รุกฺโข เปรียบเหมือนต้นไม้ ดังนี้.

บทนั้นมีความดังต่อไปนี้. เปรียบเหมือนต้นไม้ที่เขาทำพื้นที่ให้เรียบ
เหมาะที่จะทำงานเพื่อเลื่อยด้วยเลื่อย เพื่อไม่ให้กลิ้งไปมา ในเวลาเอามีดถาก
และผ่า. บทว่า กกเจน คือเลื่อยด้วยมือ. บทว่า อาคเต คือฟันเลื่อยที่
เลื่อยต้นไม้มาใกล้ตน. บทว่า คเต คือฟันเลื่อยที่เลื่อยต้นไม้ไปส่วนอื่น. วา
ศัพท์เป็นสมุจจยัตถะ ลงในอรรถรวบรวม. บทว่า น อวิทิตา โหนฺติ
ไม่ปรากฏก็หามิได้ คือ ฟันเลื่อยแม้ทั้งหมดที่บุรุษเลื่อยต้นไม้ แม้ไม่ถึงที่มองดู
ก็ย่อมปรากฏ เพราะไม่ใส่ใจถึงฟันเลื่อยที่มาหรือที่ไป. บทว่า ปธานํ เป็น
ประธาน คือความเพียรในการตัดต้นไม้. บทว่า ปโยคํ ประโยค คือ
กิริยาที่ตัดต้นไม้. บทว่า วเสสมธิคจฺฉติ ถึงความวิเศษไม่มีด้วยอุปมา.
บทว่า อุปนิพนฺธนา นิมิตฺตํ ความเนื่องกันเป็นนิมิต คือปลาย
จมูกก็ดี ริมฝีปากก็ดี เป็นนิมิต คือ เป็นเหตุแห่งสติอันเนื่องกัน. สติชื่อว่า
อุปนิพนฺธา เพราะเป็นเครื่องผูกจิตไว้ในอารมณ์. บทว่า นาสิกคฺเควา คือ
ผู้มีจมูกยาวตั้งสติไว้ที่ปลายจมูก. บทว่า มุขนิมิตฺเต วา คือผู้มีจมูกสั้นตั้งสติ
ไว้ที่ริมฝีปากบน เพราะริมฝีปากบนเป็นนิมิตแห่งสติที่ปาก เพราะฉะนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า มุขนิมิตฺตํ ริมฝีปาก. บทว่า อาคเต คือลมอัสสาสะ
ปัสสาสะที่มาในภายในจากที่สัมผัส. มทว่า คเต คือลมอัสสาสปัสสาสะที่ไป
ภายนอกจากที่สัมผัส. บทว่า น อวิทิตา โหนฺติ ลมอัสสาสปัสสาสะไม่
ปรากฏก็หามิได้ คือ ลมอัสสาสปัสสาสะแม้ทั้งหมดเหล่านั้น ยังไม่ถึงที่สัมผัส
ก็ย่อมปรากฏ. เพราะไม่ใส่ใจถึงการมาการไปของลมอัสสาสปัสสาสะ. บทว่า
กมฺมนียํ โหติ ย่อมควรแก่การงาน คือ ทั้งกาย ทั้งจิต ย่อมควรแก่การงาน
เหมาะแก่ภาวนากรรม สมควรแก่ภาวนากรรม. ความเพียรนี้ชื่อว่า ปธาน
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวถึงเหตุด้วยผล.

บทว่า อุปกฺกิเลสา ปหียนฺติ ภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมละ
อุปกิเลสได้ คือละนิวรณ์ได้ด้วยการข่มไว้. บทว่า วิตกฺกา วูปสมนฺติ วิตก
ย่อมสงบไป คือ วิตกไม่ตั้งมั่นแล้ว เที่ยวไปในอารมณ์ต่าง ๆ ย่อมถึงความสงบ
ภิกษุปรารภความเพียรละอุปกิเลสได้ด้วยฌานใด วิตกทั้งหลายย่อมสงบด้วย
ฌานนั้น. บทว่า อยํ ปโยโค ท่านทำเป็นปุงลิงค์เพราะเพ่งถึงประโยค.
บทว่า สญฺโญชนานิ ปหียนฺติ ภิกษุผู้ปรารภความเพียรย่อมละสังโยชน์ได้
คือ ละสังโยชน์อันมรรคนั้น ๆ ทำลายด้วยสมุจเฉทปหาน. บทว่า อนุสยา
พฺยาสนฺติ
อนุสัยย่อมถึงความพินาศ คือ เพราะอนุสัยที่ละได้แล้วไม่เกิดขึ้นอีก
จึงชื่อว่า พยนฺตา เพราะมีเกิดหรือเสื่อมปราศจากไปแล้ว. ชื่อว่า พฺยนฺติ
โหนฺติ
เพราะไม่เสื่อมมาก่อน ย่อมาเสื่อม ความว่า พินาศ. เพื่อแสดงว่า
การละสังโยชน์ย่อมมีได้ด้วยการละอนุสัย มิใช่ด้วยอย่างอื่น ท่านจึงกล่าวถึง
การละอนุสัย. ความว่า ละสังโยชน์ได้ด้วยมรรคใด อนุสัยย่อมพินาศไปด้วย
มรรคนั้น นี้เป็นความวิเศษ.
ในจตุกะที่ 4 ท่านกล่าวถึงอริยมรรคไว้ในที่นี้ เพราะแม้อริยมรรค
ท่านก็ได้ชี้แจงไว้แล้ว แม้เมื่อไม่กล่าวถึงความไม่มีอารมณ์เป็นสองแห่งจิต
ดวงเดียว เพราะสำเร็จแล้วท่านจึงไม่แก้จิตดวงนั้นแล้วสรุปว่า ธรรม 3 อย่าง
เหล่านั้นไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียวอย่างนี้.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะสรรเสริญพระโยคาวจร ผู้สำเร็จภาวนา
นั้นจึงกล่าวคาถาว่า อานาปานสฺสติ ยสฺส แล้วกล่าวนิเทศแห่งคาถานั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทนั้นดังต่อไปนี้ ภิกษุใดเจริญอานาปานสติให้
บริบูรณ์ดีแล้ว อบรมแล้วตามลำดับ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว ภิกษุ
นั้นย่อมทำโลกนี้ให้สว่างไสว เหมือนอะไร เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจาก

หมอกฉะนั้น. พึงทรามความเชื่อมด้วยคาถาว่า พระโยคาวจรนั้น ยังโลกมี
ขันธโลกเป็นต้นนี้ ให้สว่างไสว เหมือนพระจันทร์พ้นแล้ว จากหมอกเป็นต้น
ยังโอกาสโลกนี้ให้สว่างไสวฉะนั้น. พึงทราบว่าในบทนี้ ท่านทำการลบอาทิ
ศัพท์เพราะท่านกล่าวถึง แม้น้ำค้างเป็นต้นในนิเทศแห่งบทว่า อพฺภา มุตฺโตว
จนฺทิมา
เหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากหมอกฉะนั้น.
ในคาถานิเทศท่านกล่าวแปลกออกไปโดยปฏิเสธความนั้นว่า โน
ปสฺสาโส โน อสฺสาโส
ไม่ใช่ลมปัสสาสะ ไม่ใช่ลมอัสสาสะ. บทว่า
อุปฏฺฐานํ สติ สติเข้าไปตั้งอยู่ ความว่า ชื่อว่าสติเข้าไปตั้งลมอัสสาสะนั้น
เพราะความไม่หลง. ลมปัสสาสะก็เหมือนกัน ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่าน
กล่าวความว่า สติในลมหายใจเข้าและหายใจออกชื่อว่า อานาปานสติ. บัดนี้
ประสงค์จะชี้แจงถึงบุคคลที่ท่านกล่าวว่า ยสฺส ด้วยอำนาจแห่งสติเท่านั้น จึง
กล่าวว่า สติย่อมปรากฏแก่บุคคลผู้หายใจเข้าและผู้หายใจออก. ความว่า ผู้ใด
หายใจเข้า สติของผู้นั้นย่อมกำหนดลมอัสสาสะ. ผู้ใดหายใจออก สติของผู้นั้น
ย่อมกำหนดลมปัสสาสะ.
บทว่า ปริปุณฺณา คือ บริบูรณ์ด้วยบรรลุอรหัตมรรค อันสืบ
มาจากมรรคในฌานและวิปัสสนา พระสารีบุตรเถระกล่าวคำมีอาทิว่า ปริคฺค-
หฏเฐน
ด้วยอรรถว่าถือเอารอบ หมายถึงธรรมคือมรรคฌานและวิปัสสนาฌาน.
เพราะธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ปริคฺคหา เพราะอันพระโยคาวจรนี้ถือเอารอบ.
ชื่อว่า ปุริปุณฺณา ด้วยอรรถว่าถือเอารอบนั้น. ชื่อว่า ปริปุณฺณา ด้วย
อรรถว่าเป็นบริวาร เพราะจิตและเจตสิกทั้งปวงเป็นบริวารของกันและกัน
ชื่อว่า ปริปุณฺณา ด้วยอรรถว่าบริบูรณ์ ด้วยความบริบูรณ์แห่งภาวนา.

บทมีอาทิว่า จตสฺโส ภาวนา ภาวนา 4 ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่ง
บทที่กล่าวแล้วว่า สุภาวิตา เจริญแล้ว. ภาวนา 4 ท่านกล่าวไว้แล้วในหนหลัง.
บทว่า ยานีกตา ทำให้เป็นดังยาน คือทำเช่นกับยานเทียมแล้ว. บทว่า
วตฺถุกตา ทำให้เป็นที่ตั้ง คือทำเช่นกับวัตถุ ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า
อนุฏฺฐิตา น้อมไปคือปรากฏแล้ว. บทว่า ปริจิตา อบรม คือ ตั้งสะสมไว้
โดยรอบ. บทว่า สุสมารทฺธา. ปรารภดีแล้ว คือ ปรารภด้วยดี ทำด้วยดี.
บทว่า ยตฺถ ยตฺถ อากงฺขติ ภิกษุจำนงหวังในที่ใด ๆ คือ หาก
ภิกษุปรารถนาในฌานใด ๆ ในวิปัสสนาใด ๆ. บทว่า ตตฺถ ตตฺถ คือ
ในฌานนั้น ๆ ในวิปัสสนานั้น ๆ. บทว่า วสิปฺปตฺโต เป็นผู้ถึงความชำนาญ
ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ชำนาญ คือความเป็นผู้มีวสีมาก. บทว่า พลปฺปตฺโต
ถึงกำลัง คือถึงกำลังสมถะและวิปัสสนา. บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺโต ถึงความ
แกล้วกล้าคือ ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ความเป็นผู้ฉลาด. บทว่า เต ธมฺมา
ได้แก่ ธรรม คือ สมถะและวิปัสสนา. บทว่า อาวชฺชนปฏิพทฺธา เป็นธรรม
เนื่องด้วยความคำนึง คือเพราะเนื่องด้วยความคำนึง ความว่า เพียงภิกษุนั้น
คำนึงเท่านั้น ธรรมทั้งหลายย่อมถึงการประกอบพร้อมด้วยสันดาน หรือด้วย
ญาณ. บทว่า อากงฺขณฺปฏิพทฺธา เนื่องด้วยความหวัง คือเพราะเนื่องด้วย
ความชอบใจ ความว่า เพียงภิกษุชอบใจเท่านั้น ธรรมทั้งหลายย่อมถึงการ
ประกอบพร้อมโดยนัยดังกล่าวแล้ว. อนึ่ง มนสิการในบทว่า มนสิการปฏิพทฺ-
ธา
นี้ เป็นจิตตุปบาทแห่งความคำนึง. ท่านกล่าวเพื่อขยายความด้วยสามารถแห่ง
ไวพจน์ของความหวัง. บทว่า เตน วุจฺจติ ยานีกตา เพราะเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่าทำให้เป็นดังยาน อธิบายว่า ธรรมเหล่านั้นทำให้เป็นเช่นกับยาน
เพราะทำแล้วอย่างนั้น.

บทว่า ยสฺมึ ยสฺมึ วตฺถุสฺมึ ในวัตถุใด ๆ คือ ในวัตถุหนึ่ง ๆ
ในวัตถุ 16. บทว่า สฺวาธิฏฺฐิตํ มั่นคงดีแล้ว คือ ตั้งไว้ดีแล้ว. บทว่า
สุปติฏฺฐิตา ปรากฏดีแล้ว คือ เข้าไปตั้งไว้ด้วยดี. ท่านแสดงธรรม 2 อย่าง
เหล่านั้น ประกอบด้วยอนุโลมปฏิโลมเพราะทำกิจของตน ๆ ร่วมกันแห่งสติ
อันมีจิตสัมปยุตเเล้ว. บทว่า เตน วุจฺจติ วตฺถุกตา ด้วยเหตุนั้นท่านจึง
กล่าวว่า ทำให้เป็นที่ตั้ง อธิบายว่า เพราะความเป็นอย่างนี้ ธรรมทั้งหลาย
จึงทำให้เป็นที่ตั้ง.
บทว่า เยน เยน จิตฺตํ อภินีหรติ จิตน้อมไปด้วยอาการใด ๆ
คือ จิตนำออกจากความเป็นไปในก่อนแล้วน้อมเข้าไปในภาวนาวิเศษใด ๆ.
บทว่า เตน เตน สติ อนุปริวตฺตติ สติก็หมุนไปตามด้วยอาการนั้น ๆ
คือ สติช่วยเหลือในภาวนาวิเศษนั้น ๆ หมุนไปตาม เพราะเป็นไปแต่ก่อน.
ในบทว่า เยน เตน นี้ พึงทราบว่าเป็นสัตตมีวิภัตติ ดุจในประโยคมีอาทิว่า
เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ใด เข้าไปหา
ณ ที่นั้นดังนี้. บทว่า เตน วุจฺจติ อนุฏฺฐิตา ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
น้อมไป คือ เพราะทำอย่างนั้นนั่นแล ท่านอธิบายว่า ธรรมทั้งหลายไปตาม
ภาวนานั้น ๆ ตั้งอยู่ เพราะอานาปานสติเป็นประธานของสติ พึงทราบว่า
ท่านทำการประกอบพร้อมกับสติในบทว่า วตฺถุกตา และอนุฏฺฐิตา.
อนึ่ง เพราะสติอันภิกษุอบรมให้บริบูรณ์แล้ว เป็นอันงอกงามแล้ว
ได้อาเสวนะแล้ว ฉะนั้น อรรถทั้ง 3 ที่ท่านกล่าวไว้ในบทว่า ปริปุณฺณา
เป็นอันกล่าวแม้ในบทว่า ปริจิตา ด้วย. ท่านกล่าวอรรถที่ 4 เป็นอรรถ
วิเศษ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สติยา ปริคฺคณฺหนฺโต ภิกษุกำหนดถือ
เอาด้วยสติ คือ พระโยคาวจรกำหนดถือเอาสิ่งที่ควรถือเอาด้วยสติอันสัมปยุต
แล้ว หรือเป็นบุพภาค. บทว่า ชินาติ ปาปเก อกุสเล ธมฺเม ภิกษุ
ย่อมชนะอกุศลธรรมอันลามกได้ คือ ย่อมชนะ ย่อมครอบงำ กิเลสอันลามก
ด้วยการตัดขาด. ธรรมเทศนานี้เป็นบุคลาธิษฐาน เพราะเมื่อธรรมทั้งหลาย
ชนะ แม้บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรมนั้น ก็ชื่อว่าย่อมชนะด้วย. อนึ่ง
ธรรมเหล่านั้นไม่ละสติปรารภเพื่อจะชนะในขณะที่ยังเป็นไปของตน ท่านกล่าว
ว่าชนะแล้ว เหมือนที่ท่านกล่าวว่า บุคคลปรารภเพื่อจะบริโภค ก็เป็นอัน
บริโภคแล้ว. อนึ่ง พึงทราบลักษณะในบทนี้โดยอรรถแห่งศัพท์.
แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เมื่อควรจะกล่าวว่า ปริชิตา ท่านแปลง
อักษรเป็น อักษรกล่าวว่า ปริจิตา. ท่านทำโดยลักษณะของภาษา แปลง
เป็น ในอรรถวิกัปว่า สมฺมา คโท อสฺสาติ สุคโต ชื่อว่า สุคต
เพราะมีพระวาจาชอบ ฉันใด แม้ในบทนี้ก็พึงทราบฉันนั้น. บทว่า ปริจิตา
ในอรรถวิกัปนี้เป็นกัตตุสาธนะ 3 บทก่อนเป็นกัมมสาธนะ.
บทว่า จตฺตาโร สุสมารทฺธา ธรรม 4 อย่างภิกษุปรารภดีแล้ว
ท่านอธิบายว่า ธรรม 4 อย่างมีอรรถอันภิกษุปรารภดีแล้ว. พึงเห็นว่าลบ
อตฺถ ศัพท์. แม้อรรถแห่งบทว่า สุสมารทฺธา พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า
สุสมารทฺธา ในที่นี้ หรือ สุสมารทฺธธมฺมา มีธรรมอันภิกษุปรารภดีแล้ว.
พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า จตฺตาโร โดยประเภทแห่งอรรถ มิใช่โดยประเภท
แห่งธรรม. อนึ่ง เพราะธรรมทั้งหลายอันภิกษุเจริญแล้วเป็นอันชื่อว่า ปรารภ
ดีแล้ว มิใช่ธรรมเหล่าอื่น ฉะนั้นท่านกล่าวอรรถแห่งความเจริญ 3 อย่าง
ไว้แม้ในที่นี้. แม้อรรถแห่งอาเสวนะ (การเสพ) ท่านก็กล่าวในอรรถแห่ง

ความเจริญ 3 อย่างที่กล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่กล่าวอรรถแห่งธรรมนั้น
เป็นอันกล่าวถึงอรรถแห่งกิเลสอันเป็นข้าศึกแก่ธรรมนั้นที่ถอนแล้ว เพราะที่สุด
แห่งการปรารภย่อมปรากฏโดยการถอนกิเลสอันเป็นข้าศึก ด้วยเหตุนั้นเป็น
อันท่านกล่าวถึงอรรถอันถึงยอดแห่งธรรมที่ปรารภดีแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตปฺปจฺจนีกานํ กิเลสอันเป็นข้าศึกแก่
ธรรมนั้น คือ กิเลสเป็นข้าศึกแก่ฌานวิปัสสนาและมรรคเหล่านั้น. บทว่า
กิเลสานํ แห่งกิเลสทั้งหลาย คือ แห่งกิเลสทั้งหลายมีกามฉันทะเป็นต้น
และสักกายทิฏฐิ อันสัมปยุตด้วยนิจจสัญญาเป็นต้น. บทว่า สุสมุคฺฆาตตฺตา
เพราะเพิกถอนด้วยดี คือ เพราะถอนด้วยดี เพราะพินาศไปด้วยสามารถแห่ง
วิกขัมภนะ ตทังคะและสมุจเฉทะ. แต่ในคัมภีร์ทั้งหลาย พวกอาจารย์เขียน
ไว้ว่า สุสมคฺฆาตตฺตา บทนั้นไม่ดี.
พระสารีบุตรเถระเมื่อแสดงอรรถวิกัปแม้อื่นแห่งบทนั้นอีก จึงกล่าว
คำมีอาทิว่า สุสมํ ความเสมอดี. ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ชาตา
กุสลธรรมทั้งหลายเกิดในธรรมนั้น คือ เกิดในภาวนาวิเศษอันถึงยอดนั้น.
บทว่า อนวชฺชา ไม่มีโทษ คือ ปราศจากโทษ คือ กิเลสด้วยการไม่เข้าถึง
ความที่กิเลสทั้งหลายเป็นอารมณ์. บทว่า กุสลา ได้แก่ กุศลโดยกำเนิด.
บทว่า โพธิปกฺขิยา เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ คือ ชื่อว่า โพธิปกฺขิยา
เพราะเป็นฝ่ายแห่งพระอริยเจ้าอันได้ชื่อว่า โพธิ เพราะอรรถว่าตรัสรู้. บทว่า
ปกฺเข ภวตฺตา เพราะเป็นในฝ่าย คือ เพราะตั้งอยู่ในความเป็นอุปการะ
อนึ่ง ธรรม 37 เหล่านั้นคือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4
อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรคมีองค์ 8. บทว่า อิทํ สมํ

นี้เป็นความเสมอ คือชื่อว่า เสมอ เพราะธรรมชาติในขณะมรรคนี้ย่อมยัง
กิเลสทั้งหลายให้สงบคือ ให้พินาศไปด้วยการตัดขาด. บทว่า นิโรโธ นิพฺพานํ
ความดับเป็นนิพพาน คือชื่อว่า นิโรธ เพราะดับทุกข์ ชื่อว่า. นิพพาน
เพราะไม่มีตัณหา กล่าวคือเครื่องร้อยรัด. บทว่า อิทํ สุสมํ นี้เป็นความ
เสมอดี คือนิพพานนี้ ชื่อว่า เสมอดี เพราะเสมอด้วยดี เพราะปราศจาก
ความไม่เสมอ คือ สังขตธรรมทั้งปวง. บทว่า ญาตํ รู้แล้ว คือ รู้เสมอ
กล่าวคือโพธิปักขิยธรรมด้วยญาณ เพราะไม่หลง รู้เสมอดี กล่าวคือนิพพาน
ด้วยญาณโดยความเป็นอารมณ์ เห็นทั้งสองนั้นดุจเห็นด้วยตานั้นนั่นเอง.
บทว่า วิทิตํ ทราบแล้ว คือ ได้ทั้งสองอย่างนั้นด้วยเกิดขึ้นสันดานและด้วย
ทำเป็นอารมณ์ ทำให้แจ้งแล้วและถูกต้องแล้วด้วยปัญญาดุจรู้แล้ว ประกาศ
อรรถแห่งบทก่อน ๆ ว่าไม่ย่อหย่อน ไม่หลงลืม ไม่ปั่นป่วน มีอารมณ์เป็นหนึ่ง.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อารทฺธํ ปรารภแล้ว คือปรารถนาแล้ว.
บทว่า อลฺลีนํ ไม่ท้อถอย. บทว่า อุปฏฺฐิตา ตั้งมั่นแล้ว คือ เข้าไปตั้ง
ไว้แล้ว. บทว่า อสมฺมุฏฺฐา ไม่หลงลืม คือ ไม่หายไป. บทว่า ปสฺสทฺโธ
สงบแล้วคือดับแล้ว. บทว่า อสารทฺโธ ไม่ปั่นป่วน คือ ไม่กระวนกระวาย.
บทว่า สมาหิตํ ตั้งมั่นแล้ว คือ ตั้งไว้เสมอ. บทว่า เอกคฺคํ มีอารมณ์เดียว
คือ ไม่ฟุ้งซ่าน.
บทมีอาทิว่า จตฺตาโร สุสมารทฺธา ธรรม 4 อย่างภิกษุปรารภ
ดีแล้ว มีอรรถเป็นมูลรากของคำ สุสมารทฺธา ทั้งสิ้น. ส่วนบทมีอาทิว่า
อตฺถิ สมํ ความเสมอก็มี มีอรรถเป็นมูลรากของสุสม. บทมีอาทิว่า ญาตํ
มีอรรถเป็นวิกัปของคำ อารทฺธ.

ต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบอรรถแห่งบท เมื่อควรจะกล่าวว่า สมา
จ สุสมา จ สมสุสมา
เสมอและเสมอดี ชื่อว่า สมสุสมา ท่านทำเป็น
เอกเสสสมาสมีรูปเป็นเอกเทศ แล้วกล่าวว่า สุสมา เหมือนกล่าวว่า นามญฺ
จ รูปญฺจ นามรูปญฺจ นามรูปํ
นาม รูป และนามรูป ชื่อว่า นามรูปํ.
บทว่า อิทํ สมํ อิทํ สุสมํ นี้เสมอ นี้เสมอดี ท่านทำเป็นคำนปุงสกลิงค์
เพราะไม่เพ่งเป็นอย่างอื่น. อนึ่ง เพราะแม้ ญาตํ รู้แล้วท่านกล่าวว่า ทิฏฺฐํ
เห็นแล้ว. เห็นแล้ว และปรารภแล้วโดยอรรถเป็นอันเดียวกัน. ส่วนบทว่า
วิทิต รู้แล้ว สจฺฉิกต ทำให้แจ้งแล้ว ผสฺสิต ถูกต้องแล้ว เป็นไวพจน์
ของบทว่า ญาต รู้แล้ว. ฉะนั้นจึงเป็นอันท่านกล่าวอรรถแห่ง อารทฺธ
ปรารภแล้วว่า ญาต รู้แล้ว. บทว่า อารทฺธํ โหติ วีริยํ อลฺลีนํ ความ
เพียรภิกษุนั้นปรารภแล้ว ไม่ย่อหย่อน มีอรรถตรงกับคำว่า อารทฺธ แต่บท
มีอาทิว่า อุปฏฺฐิตา สติตั้งมั่น ท่านกล่าวเพื่อแสดงธรรมอันเป็นอุปการะ
แก่ความเพียรอันสัมปยุตแล้ว มิได้กล่าวเพื่อแสดงอรรถแห่งคำว่า อารทฺธ
ชื่อว่า สุสมารทฺธา เพราะปรารภแล้วด้วยดี โดยอรรถก่อน และชื่อว่า
สุสมารทฺธา เพราะเริ่มเสมอดี ด้วยอรรถนี้เมื่อท่านทำเป็นเอกเสสสมาส
จึงกล่าวว่า สุสมารทฺธา. ท่านกำหนดถือเอาอรรถนี้ แล้วกล่าวด้วยเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า สุสมารทฺธา ปรารภแล้วเสมอดี.
บทว่า อนุปุพฺพํ คือตามลำดับ. อธิบายว่าก่อน ๆ หลัง. บทว่า
ทีฆํอสฺสาสวเสน ด้วยสามารถลมหายใจเข้ายาว คือด้วยสามารถลมหายใจ
เข้าที่ท่านกล่าวว่า ทีฆํ ยาว. บทว่า ปุริมา ปุริมา ข้างต้น ๆ คือ สติ
สมาธิ ข้างต้น ๆ. ท่านกล่าวอรรถแห่งบทว่า ปุพฺพํ ด้วยบทนั้น. บทว่า
ปจฺฉิมา ปจฺฉิมา ข้างหลัง ๆ คือสตินั่นเอง. ท่านกล่าวอรรถแห่งบทว่า

อนุ ด้วยบทนั้น. ด้วยบททั้งสองนั้น เป็นอันได้ความว่า อบรม อานาปานสติ
ก่อนและหลัง. เพราะกล่าวยังวัตถุ 16 อย่างข้างบนให้พิสดาร ในที่นี้ท่านจึงย่อ
แล้วแสดงบทสุดท้ายว่า ปฏินิสฺสคฺคานุปสฺสี พิจารณาเห็นความสละคืน
ดังนี้.
เพราะอานาปานสติ แม้ทั้งปวงภิกษุอบรมตามลำดับ เพราะเป็นไป
ตามความชอบใจ บ่อย ๆ แห่งการเจริญถึงยอด. เหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
อญฺญมญฺญํปริจิตา เจว โหนฺติ อนุปริจิตา จ อาศัยกันภิกษุนั้นอบรม
แล้วและอบรมตามลำดับแล้ว ดังนี้.
บทว่า ยถตฺถา อรรถแห่ง ยถาศัพท์ คืออรรถตามสภาวะ. บทว่า
อตฺตทมถฏฺโฐ ความฝึกตน คือความหมดพยศของตนในขณะอรหัตมรรค.
บทว่า สมถฏฺโฐ ความสงบตน คือความเป็นผู้เยือกเย็น. บทว่า ปรินิพฺ-
พาปนฏฺโฐ
ความยังตนให้ปรินิพพาน คือด้วยการดับกิเลส. บทว่า อภิญฺ
ญฏฺโฐ
ความรู้ยิ่ง คือด้วยอำนาจแห่งธรรมทั้งปวง. บทว่า ปริญฺญฏฺโฐ
ความกำหนดรู้เป็นต้น คือด้วยอำนาจแห่งกิจคือมรรคญาณ. บทว่า สจฺจาภิ-
สมยฏฺโฐ
ความตรัสรู้สัจจะ คือด้วยอำนาจแห่งการเห็นแจ้งแทงตลอด
อริยสัจ 4. บทว่า นิโรเธ ปติฏฺฐาปกฏฺโฐ ความยังตนให้ประดิษฐานอยู่ใน
นิโรธ คือด้วยอำนาจแห่งการกระทำอารมณ์. ท่านประสงค์จะชี้แจงว่า พุทฺโธ
ในบทว่า พุทฺเธน แม้ไม่มีบทว่า พุทฺธสฺส จึงกล่าวว่า พุทฺโธ. บทว่า
สยมฺภู พระผู้เป็นเอง คือเป็นเองปราศจากการแนะนำ. บทว่า อนาจริยโก
ไม่มีอาจารย์ คือ ขยายอรรถแห่งบทว่า สยมฺภู. เพราะว่าผู้ใดแทงตลอด
อริยสัจปราศจากอาจารย์ ผู้นั้นเป็นพระสยัมภู. แม้บทมีอาทิว่า ปุพฺเพ
อนนุสฺสุเตสุ
ในธรรมที่ไม่เคยสดับมาแต่กาลก่อน เป็นการประกาศอรรถ

แห่งความไม่มีอาจารย์. บทว่า อนนุสฺสุเตสุ คือไม่เคยสดับมาแต่อาจารย์.
บทว่า สามํ คือ เอง. บทว่า อภิสมฺพุชฺฌิ ตรัสรู้ คือ แทงตลอดโดย
ชอบอย่างยิ่ง. บทว่า ตตฺถ จ สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิ คือ บรรลุความเป็น
พระสัพพัญญูในสัจจะนั้น. ท่านกล่าวอย่างนั้น เพราะแทงตลอดสัจจะโดยที่
พระสัพพัญญูทั้งหลายเป็นผู้แทงตลอดสัจจะ ปาฐะว่า สพฺพญฺญุตํ ปตฺโต
บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูบ้าง. บทว่า พเลสุ จ วสีภาวํ เป็นผู้มีความ
ชำนาญในพลธรรมทั้งหลาย คือ บรรลุความเป็นอิสระในกำลังของพระตถาคต
10. ผู้ใดเป็นอย่างนั้น ท่านกล่าวผู้นั้นว่าเป็น พุทธะ ในบทว่า พุทฺโธ
นั้นเป็นบัญญัติ หมายถึง ขันธสันดานที่อบรมบรรลุความหลุดพ้นอันยอดเป็น
นิมิตแห่งญานอันอะไรๆ ไม่กระทบแล้วในธรรมทั้งปวง หรือพุทธเจ้าผู้วิเศษ
กว่าสัตว์เป็นบัญญัติ หมายถึง การตรัสรู้ยิ่งสัจจะ อันเป็นปทัฏฐานแห่งสัพพัญ-
ญุตญาณ. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านกล่าวถึงการชี้แจง บทว่า พุทธะ
โดยอรรถ.
บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะชี้แจงโดยพยัญชนะ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
พุทฺโธติ เกนฏฺเฐน พุทฺโธ บทว่า พุทฺโธ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระ
นามว่า พุทธะด้วยอรรถว่ากระไร ในบทนั้นท่านกล่าวว่า อรคโต เพราะ
ตรัสรู้ในโลกตามเป็นจริง ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะตรัสรู้สัจธรรม ชื่อว่า
พุทฺโธ ทรงสอนให้หมู่สัตว์ตรัสรู้ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวว่า ใบไม้แห้ง
เพราะลมกระทบ. บทว่า สพฺพญฺญุตาย พุทฺโธ ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะความ
เป็นพระสัพพัญญู. ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะมีปัญญาสามารถ
ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง. บทว่า สพฺพทสฺสาวิตาย พุทฺโธ ชื่อว่า พุทฺโธ ทรง
เห็นธรรมทั้งปวง. ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะทรงเห็นธรรมทั้งปวง
ด้วยญาณจักษุ. บทว่า อนญฺญเนยฺยตาย พุทฺโธ ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะ

ไม่มีผู้อื่นแนะนำ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะอรรถว่าตรัสรู้ด้วย
พระองค์เองโดยไม่ตรัสรู้ด้วยผู้อื่น. บทว่า วิสวิตาย พุทฺโธ ชื่อว่า พุทฺโธ
เพราะมีพระสูติไพบูลย์ ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะอรรถว่าแย้ม
ดุจดอกบัวแย้มโดยที่ทรงแย้มด้วยคุณต่าง ๆ. ท่านอธิบายว่า ชื่อว่า พุทฺโธ
เพราะเป็นผู้ฉลาดในการสิ้นไปแห่งการนอนหลับด้วยกิเลสทั้งปวงด้วยละธรรม
อันทำจิตให้ท้อแท้โดยปริยาย 6 มีอาทิว่า ขีณาสวงฺขาเตน พุทฺโธ ชื่อว่า
พุทฺโธ เพราะนับว่าพระองค์สิ้นอาสวะ ดุจบุรุษผู้ฉลาดในการสิ้นไปแห่งการ
นอนหลับ. เพราะบทว่า สงฺขา สงฺขาตํ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน
ความว่า โดยส่วนแห่งคำว่า สงฺขาเตน. ชื่อว่า เพราะนับว่าไม่มีเครื่องลูบไล้
เพราะไม่มีเครื่องลูบไล่ต่อตัณหาและเครื่องลูบไล้ต่อทิฏฐิ. ท่านอธิบายบทมีอาทิ
ว่า เอกนฺตวีตราโค ทรงปราศจากราคะโดยส่วนเดียวให้แปลกด้วยคำว่า
โดยส่วนเดียว เพราะละกิเลสทั้งปวงพร้อมด้วยวาสนาได้แล้ว. บทว่า เอกนฺ-
ตนิกฺกิเลโส
พระองค์ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว คือ ไม่มีกิเลสด้วยกิเลสทั้งปวง
อันเหลือจาก ราคะ โทสะ และโมหะ. ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเสด็จไปแล้วสู่
หนทางไปแห่งบุคคลผู้เดียว แม้อรรถแห่งการตรัสรู้ ก็ชื่อว่า เป็นอรรถแห่ง
การไปสู่ธาตุทั้งหลาย เพราะอรรถแห่งการตรัสรู้อันเป็นอรรถแห่งการไปถึง
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเสด็จไปสู่หนทางที่ไปแห่ง
บุคคลผู้เดียว.
อนึ่ง ในบทว่า เอกายนมคฺโค นี้ ท่านกล่าวชื่อของทางไว้ในชื่อ
เป็นอันมากกว่า
มรรค ปันถะ ปถะ ปัชชะ อัญชสะ วฏุมะ
อายนะ นาวา อุตตรสตุ (สะพานข้าม) กุลล (แพ)
สังกมะ (ทางก้าวไป).

เพราะฉะนั้นทางจึงมีทางเดียว ไม่เป็นทาง 2 แพร่ง. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า เอกายนมรรค เพราะเป็นทางอันบุคคลเดียวพึงไป. บทว่า เอเกน
ผู้เดียว คือ ด้วยจิตสงัดเพราะละความคลุกคลีด้วยหมู่. บทว่า อยิตพฺโพ พึงไป
คือพึงปฏิบัติ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อยโน เพราะเป็นเหตุไป. ความว่า ไปจาก
สงสารสู่นิพพาน. การไปของผู้ประเสริฐ ชื่อว่า เอกายนะ. บทว่า เอเก
คือผู้ประเสริฐ. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวง. เพราะ
ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทางอันเป็นทางไปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ชื่อว่า เอกายนมรรค หรือชื่อว่า อยโน เพราะไป ความว่า ย่อมไป
ย่อมเป็นไป. ชื่อว่า เอกายนมรรค เพราะเป็นทางไปในทางเดียว. ท่าน
อธิบายว่า ทางเป็นไปในพระพุทธศาสนาทางเดียวเท่านั้น มิใช่ในทางอื่น.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เอกายโน เพราะไปทางเดียว ท่านอธิบายว่า
ในเบื้องต้นแม้เป็นไป ด้วยความเป็นมุขต่าง ๆ และนัยต่าง ๆ ในภายหลัง ก็ไป
นิพพานอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น บทว่า เอกายนมคฺโค ความว่า
ทางไปนิพพานทางเดียว. ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ
อย่างเยี่ยมผู้เดียว ไม่เป็น พุทฺโธ เพราะตรัสรู้ด้วยคนอื่น ท่านอธิบายว่า
ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอย่างยอดเยี่ยม ด้วยพระองค์
เองเท่านั้น. บทว่า อพุทฺธิริหตตฺตา พุทฺธิปฏิลาภา พุทฺโธ ชื่อว่า
พุทฺโธ เพราะทรงกำจัดเสียซึ่งความไม่มีปัญญา เพราะทรงได้ซึ่งพระปัญญา
เครื่องตรัสรู้. บทนี้ว่า พุทฺธิ พุทฺธํ โพโธ เป็นคำบรรยาย. ในบทนั้น
ท่านกล่าวไว้เพื่อให้รู้ว่า ชื่อว่า พุทฺโธ เพราะประกอบด้วยพุทธคุณ ดุจกล่าวว่า
ผ้าสีเขียว สีแดง เพราะประกอบด้วยชนิดของสีเขียวสีแดง.

ต่อจากนั้นไป บทมีอาทิว่า พุทฺโธติ เนตํ นามํ บทว่า พุทฺโธ นี้
มิใช่ชื่อที่มารดาเป็นต้นตั้งให้ ท่านกล่าวเพื่อให้รู้ว่า นี้เป็นบัญญัติไปตามอรรถ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตา คือ สหาย. บทว่า อมจฺจา คือคน
รับราชการ. บทว่า ญาตี คือญาติฝ่ายบิดา. บทว่า สาโลหิตา คือญาติ
ฝ่ายมารดา. บทว่า สมณา คือผู้เป็นบรรพชิต. บทว่า พฺราหฺมณา คือ
ผู้มีวาทะว่าเป็นผู้เจริญ หรือผู้มีบาปสงบมีบาปลอยแล้ว. บทว่า เทวตา คือ
ท้าวสักกะเป็นต้นและพรหม. บทว่า วิโมกฺขนฺติกํ พระนามที่เกิดในที่สุด
แห่งพระอรหัตผลคือวิโมกขะ ได้แก่อรหัตมรรค ที่สุดแห่งวิโมกขะ คือ
อรหัตผล ความเกิดในที่สุดแห่งวิโมกขะนั้น ชื่อว่า วิโมกขันติกะ.
จริงอยู่ ความเป็นพระสัพพัญญู ย่อมสำเร็จด้วยอรหัตมรรค เป็นอัน
สำเร็จในการเกิดอรหัตผล. เพราะฉะนั้น ความเป็นพระสัพพัญญูจึงเป็นความ
เกิดในในที่สุดแห่งอรหัตผล แม้เนมิตตกนามนี้ก็ชื่อว่า เป็นการเกิดในที่สุด
แห่งอรหัตผล ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นี้เป็นวิโมกขันติกนาม พระนาม
ที่เกิดในที่สุดแห่งอรหัตผล แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว.
บทว่า โพธิยามูเล สห สพฺพญฺญุตญาณสฺส ปฏิลาภา เกิด
ขึ้นพร้อมกับการได้พระสัพพัญญุตญาณ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ คือ พร้อมกับ
การได้พระสัพพัญญุตญาณในขณะตามที่ได้กล่าวแล้ว ณ ควงไม้มหาโพธิ.
บทว่า สจฺฉิกา ปญฺญตฺติ สัจฉิกาบัญญัติ คือ ด้วยทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล
หรือบัญญัติเกิดด้วยการทำให้แจ้งธรรมทั้งปวง. บทว่า ยทิทํ พุทฺโธ บัญญัติ
ว่า พุทฺโธ นี้ เป็นการประกาศความเป็นพุทธะ โดยพยัญชนะ.
การเทียบเคียงกันนี้ โดยอรรถดังที่กล่าวแล้ว ในบทภาชนีย์นี้แห่ง
บาทคาถาว่า ยถา พุทฺเธน เทสิตา อันพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.

โดยประการที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานาปานสติแล้ว โดยประการที่
พระพุทธเจ้าทรงแสดง ยถา ศัพท์เป็นอรรถ 10 อย่าง สงเคราะห์ด้วย ยถา
ศัพท์ ด้วยเหตุนั้น พึงทราบว่าท่านทำให้เป็นเอกเสสสมาสด้วย ด้วยอำนาจแห่ง
เอกเสสสมาสสรุป ยถาศัพท์ มีปการศัพท์ เป็นอรรถ และยถาศัพท์ มีสภาว
ศัพท์เป็นอรรถ แล้วกล่าวว่า ยถา. แต่ในบทภาชนีย์ท่านทำให้เป็นเอกวจนะ
ว่า เทสิโต ด้วยการประกอบศัพท์หนึ่ง ๆ ใน ยถา ศัพท์นั้น. แม้ในบทต้น
เพราะท่านกล่าวว่า โหติ คหฏฺโฐ วา โหติ ปพฺพชิโต วา เหมือนบุคคล
เป็นคฤหัสถ์ก็ตาม เป็นบรรพชิตก็ตาม ท่านกล่าวว่า ยสฺส คหฏฺฐสฺส วา
ปพฺพชิตสฺส วา
แห่งคฤหัสถ์ก็ตาม แห่งบรรพชิตก็ตาม ท่านกล่าวถึง
อรรถแห่งโลก. บทว่า ปภาเสติ ย่อมให้สว่างไสว ความว่า ทำให้ปรากฏ
แก่ญาณของตน. บทว่า อภิสมฺพุทฺธตฺตา เพราะเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะ คือ
เพราะแทงตลอดด้วยสาวกปารมิญาณ. บทว่า โอภาเสติ ย่อมยังโลกนี้ให้
สว่างไสว คือ โลกอันเป็นกามาวจร. บทว่า ภาเสติ ยังโลกให้สว่างไสว คือ
โลกเป็นรูปาวจร. บทว่า ปภาเสติ ยังโลกนี้ให้สว่างไสว คือ โลกเป็นอรูปาวจร.
บทว่า อริยญาณํ คืออรหัตมรรคญาณ. บทว่า มหิกมุตฺโต คือพ้นจากน้ำค้าง.
น้ำค้างท่านเรียกว่า มหิก. ปาฐะว่า มหิยา มุตฺโต บ้าง. บทว่า ธูมรชา
มุตฺโต
คือพ้นจากควันและธุลี. บทว่า ราหุคหณา วิปฺปมุตฺโต คือพ้น
จากการจับของราหู ท่านกล่าวให้แปลกด้วยอุปสรรค 2 อย่าง เพราะราหูเป็น
ภาวะทำให้ดวงจันทร์เศร้าหมองเพราะใกล้กัน. บทว่า ภาสติ คือ ให้สว่างไสว
ด้วยมีแสงสว่าง. บทว่า ตปเต ได้แก่ ให้เปล่งปลั่งด้วยมีเดช. บทว่า วิโรจเต
คือให้ไพโรจน์ด้วยมีความรุ่งเรือง. บทว่า เอวเมวํ ตัดบทเป็น เอวํ เอวํ. อนึ่ง

เพราะแม้ดวงจันทร์เมื่อสว่างไสวไพโรจน์ ย่อมยังโอกาสโลกนี้ให้สว่างไสว
และภิกษุเมื่อสว่างไสว เปล่งปลั่ง ไพโรจน์ด้วยปัญญา ย่อมยังโลกมีขันธโลก
เป็นต้น ให้สว่างไสวด้วยปัญญา ฉะนั้น แม้ในบททั้งสองท่านไม่กล่าวว่า ภาเสติ
แต่กล่าว ภาสเต ดังนี้ เพราะเมื่อกล่าวอย่างนั้นก็เป็นอันกล่าวแม้อรรถแห่ง
เหตุด้วย. หากถามว่า เพราะเหตุไรจึงไม่อุปมาด้วยพระอาทิตย์ซึ่งมีแสงกล้า
ยิ่งนัก กลับไปอุปมาด้วยพระจันทร์. ตอบว่า พึงทราบว่าที่ถืออย่างนั้นเพราะ
การอุปมาด้วยดวงจันทร์ อันประกอบด้วยคุณสมบัติเยือกเย็น เป็นการสมควร
แก่ภิกษุผู้สงบ ด้วยการสงบความเร่าร้อน เพราะกิเลสทั้งปวง.
พระสารีบุตรเถระครั้นสรรเสริญพระโยคาวจร ผู้ยังสิทธิในการเจริญ
อานาปานสติให้สำเร็จ แล้วแสดงสรุปญาณเหล่านั้นว่า อิมานิ เตรส โวทาเน
ญาณานิ
ญาณในโวทาน 13 เหล่านี้แล.
จบอรรถกถาโวทานญาณนิเทศ

5. อรรถกถาสโตการิญาณนิเทศ


พึงทราบวินิจฉัยในสโตการิญาณนิเทศ (ญาณในการทำสติ) ดังต่อ
ไปนี้. ในมาติกา บทว่า อิธ ภิกฺขุ คือภิกษุในศาสนานี้. จริงอยู่ อิธ ศัพท์
ในบทนี้ นี้แสดงถึงคำสอนอันเป็นนิสัยของบุคคลผู้ยังอานาปานสติสมาธิ มี
ประการทั้งปวงให้เกิด และปฏิเสธความเป็นอย่างนั้นของศาสนาอื่น. ดังที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะมีในศาสนานี้เท่านั้น
ฯลฯ ลัทธิของศาสนาอื่นว่างจากสมณะผู้รู้ทั่วถึง. บทว่า อรญฺญคโต วา
รุกฺขมูลคโต วา สุญฺญาคารคโต วา
อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่
ในเรือนว่างก็ดี นี้แสดงถึงการกำหนดถือเอาเสนาสนะอันสมควรแก่การเจริญ
อานาปานสติสมาธิของภิกษุนั้น. จิตของภิกษุนั้นคุ้นในอารมณ์ทั้งหลาย มีรูป
เป็นต้นตลอดกาลนาน ไม่ปรารถนาจะพอกพูนอารมณ์ อันเป็นอานาปานสติ
สมาธิ จิตย่อมแล่นไปนอกทางทีเดียว ดุจรถเทียมด้วยโคโกง เพราะฉะนั้น
เปรียบเหมือนคนเลี้ยงโค ประสงค์จะผูกลูกโคโกงที่ดื่มน้ำมันทั้งหมดของแม่โค
นมโกงให้เจริญ จึงนำออกจากแม่โคนม ฝังเสาใหญ่ไว้ข้างหนึ่ง เอาเชือกผูก
ไว้ที่เสานั้น ทีนั้นลูกโคของเขาไม่อาจดิ้นจากที่นั้น ๆ หนีไปได้ จึงหมอบ
นอนนิ่งอยู่กับเสานั้นเอง ฉันใด แม้ภิกษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ประสงค์จะฝึก
จิตที่ประทุษร้ายให้เจริญ ด้วยการดื่มรสมีรูปารมณ์เป็นต้นตลอดกาลนาน จึง
นำออกจากอารมณ์มีรูปเป็นต้น แล้วเข้าไปยังป่าก็ดี โคนไม่ก็ดี เรือนว่างก็ดี
ผูกด้วยเชือกคือสติ ที่เสาคือลมอัสสาสะและปัสสาสะนั้น จิตของภิกษุนั้นแม้ดิ้น
รนไปข้างโน้นข้างนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์ที่สะสมไว้ในกาลก่อน ก็ไม่สามารถจะตัด